โลหะสร้างพระ
ในการสร้างพระนั้นใช้วัสดุต่างกันหลายชนิด
เช่น ว่าน ดิน ชิน โลหะต่างๆ และผง นอกจากนี้ยังสร้างจากไม้ เขาสัตว์ และงาช้าง
เป็นต้น
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะโลหะชนิดต่างๆ
ที่ใช้สร้างพระอันประกอบด้วย ธาตุแท้ และโลหะผสม
ธาตุแท้ ได้แก่ ทองคำ เงิน ทองแดง
โลหะผสม ได้แก่ ทองคำขาว(white gold) โลหะสัมฤทธิ์ ชิน ทองเหลือง และแปะตั้ง
ธาตุแท้ คือ ทองคำ เงิน และทองแดง
ใช้สำหรับสร้างพระบูชา พระเครื่อง และเหรียญ
โลหะผสมได้แก่ทองคำขาว(white gold) ไม่นิยมนำมาสร้างพระ
ส่วนใหญ่ใช้สำหรับสร้างเครื่องรูปพรรณ เช่น สร้อย แหวน ฯลฯ เป็นต้น
ทองคำขาวเป็นโลหะเจือ ประกอบด้วย ทองคำ เจือด้วยโลหะอื่น เช่น เงิน นิกเกิล
สังกะสี แพลเลเดียม เพื่อให้ได้สีเงินคล้าย ( platinum)
ทองเหลือง โลหะเจือประกอบด้วยทองแดงและสังกะสี
แปะตั้ง ( อัลปาก้า เยอรมันซิลเวอร์ นิกเกิลบรอนซ์ ) โลหะเจือ ประกอบด้วย
ทองแดง สังกะสี และนิกเกิล แปะตั้งส่วนใหญ่ใช้ทำตลับพระ และเครื่องรูปพรรณ
แปะตั้งจะมีความแข็งต่างกัน ขึ้นอยู่กับการผสมโลหะทั้ง๓ ชนิดในสัดส่วนเท่าใด สำหรับอัลปาก้า
หรือเนื้อช้อนส้อม เป็นแปะตั้งเนื้อแข็งใช้สำหรับทำช้อนส้อมและสร้างพระ
เช่น รูปหล่อหลวงพ่อเดิมปี พ.ศ.๒๔๘๒ กล่าวกันว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ หาโลหะยากจึงนำช้อนส้อมมาหลอมเป็นแท่ง
จากนั้นนำเข้าเครื่องปั๊ม เพื่อปั๊มเป็นพระรูปหล่อหลวงพ่อเดิม รูปหล่อปั๊มหลวงพ่อเดิมเนื้ออัลปาก้าจึงมีราคาสูงกว่าเนื้อทองเหลือง
ชิน โลหะเจือชนิดหนึ่ง
ประกอบด้วยตะกั่วและดีบุก นิยมใช้ทำพระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง ถ้าส่วนผสมของดีบุกมากกว่าตะกั่วจะมีผิวแข็งไม่อ่อนนุ่มเหมือนตะกั่ว
เรียกว่า ชินแข็ง ชินกรอบ หรือชินเงิน
แต่ถ้าส่วนผสมของตะกั่วมากกว่าดีบุก เรียกว่า ชินตะกั่วหรือชินแก่ตะกั่ว
นอกจากนี้ยังมีชินอีกชนิดหนึ่ง คือ
ชินเขียว ชินพร หรือชินสังฆวานร เป็นชินที่มีส่วนผสมของตะกั่วกับสังกะสี
ชินชนิดนี้จะแข็งและทนทาน
เพราะจะไม่เกิดสนิมขุมและรอยระเบิดแตกปริให้เห็นแต่จะแสดงความเก่าให้เห็นโดยเกิดสนิมไขเป็นเม็ดเต่ง
เกิดทับถมซ้อนกันเป็นชั้นๆ แบบสลับซับซ้อน หรือที่เรียกกันว่า สนิมไข่แมงดา ชินชนิดนี้ใช้สร้างพระเครื่อง เช่น
พระร่วงทรงเกราะ เงิน ๙ ตรา ในสมัยสุโขทัย นอกจากนั้น ชินเขียวยังใช้ทำตะปูหรือน๊อตในการสร้างโบสถ์วิหารหรือศาลาการเปรียญ
เรียกว่า ตะปูสังฆวานร
โลหะสัมฤทธิ์ สัมฤทธิ์หรือสำริด คือ โลหะผสมชนิดหนึ่งตามคติโบราณซึ่งใช้ธาตุบริสุทธิ์ตั้งแต่
๓ ชนิด ขึ้นไป อย่างมากไม่เกิน ๙ ชนิด โลหะยืนต้องใช้โลหะตระกูลสูง ๒ ชนิดคือ
ทองคำ และเงิน นอกจากนั้นยังมีโลหะอีกชนิดหนึ่งคือ ทองแดง
สัมฤทธิ์แบ่งเป็นตระกูลต่างๆ ดังนี้
๑.
สัมฤทธิ์ผล ( สัมฤทธิ์แดง )คือตริยะโลหะ
เป็นมงคลนามหมายถึง พระรัตนตรัย ( พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ) เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อ
๓ ซึ่งประกอบด้วย ทองแดง เจือด้วยเงิน และทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะ คล้ายนาก
ผิวกลับคล้ำคล้ายมะขามเปียก
เช่นพระกริ่งของพระสังฆราช(แพ) บางรุ่น
๒. สัมฤทธิ์โชค ( สัมฤทธิ์เหลือง ) คือปัญจโลหะ
หรือเบญจโลหะ หมายถึง เบญจขันธ์ ( ขันธ์ ๕ ) คือ รูป
เวทนา สัญญา สังขาร
และวิญญาณ
เป็นทองเนื้อ ๕ ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี เงิน และทองคำ
มีวรรณะเหลืองคล้ายกลองมโหระทึก หรือขันล้างหน้าโบราณ ( เนื้อขันลงหิน )
เนื้อเป็นแววนกยูง เช่น พระกริ่งท่านเจ้าคุณศรีฯ ( สนธิ์ ) บางรุ่น พระรูปหล่อหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน
๓. สัมฤทธิ์ศักดิ์ ( สัมฤทธิ์ขาว ) คือสัตโลหะ เป็นมงคลนิมิต หมายถึงโพชฌงค์ ๗ ( องค์แห่งการบรรลุโลกุตธรรม
) ได้แก่ สติ ธัมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา
เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อ ๗ ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว
เงิน และทองคำ เนื้อมีวรรณะหม่นคล้ำน้อยๆ
มีวรรณะขาวผสมผสานอยู่ เช่น พระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) บางรุ่น
ผิวพระเป็นสีเทาหม่นคล้ำ
๔.
สัมฤทธิ์คุณ ( สัมฤทธิ์เขียว )
คือนวโลหะชนิดหนึ่ง
หมายถึงนัยของธรรมอันสูงสุดในพระพุทธศาสนา อันได้แก่ นวโลกุตรธรรม ได้แก่ มรรค
๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อ ๙ ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว ชิน เจ้าน้ำเงิน ( แร่ชนิดหนึ่งสีเขียวเป็นสีน้ำเงิน ) เงิน และทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้จะแก่ส่วนผสมของเงินมากกว่าธรรมดา
เนื้อในมีวรรณะเป็น สีจำปาอ่อน
หรือสีนากอ่อน ผิวเมื่อกลับจะมีสีคล้ำเจือเขียวเตยหม่นแกมเหลืองอ่อน
มีแววเงินขาวตลอดเนื้อ เช่นพระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราช ( แพ )
ปีพ.ศ. ๒๔๗๙
๕.
สัมฤทธิ์เดช ( สัมฤทธิ์ดำ ) คือนวโลหะครบสูตร หมายถึง โลกุตรธรรมเช่นเดียวกับสัมฤทธิ์คุณ เป็นสัมฤทธิ์เนื้อ ๙
เป็นนวโลหะที่มีส่วนผสมได้เกณฑ์ถูกต้องที่สุด ประกอบด้วย (๑) ชิน หนัก ๑ บาท (๒) เจ้าน้ำเงิน หนัก ๒ บาท (๓) เหล็กละลายตัว หนัก ๓ บาท (๔) บริสุทธิ์ ( ตะกั่วเถื่อน )
หนัก ๔ บาท (๕) ปรอท หนัก ๕ บาท (๖) สังกะสี หนัก ๖ บาท (๗)ทองแดง หนัก ๗ บาท (๘) เงิน หนัก ๘ บาท
และ(๙) ทองคำ หนัก ๙ บาท
นวโลหะตระกูลนี้มีโลหะ ๙ ชนิดรวมกันหนัก ๔๕ บาท ซึ่งต้องใช้ทองคำหนักถึง ๙
บาท ปัจจุบันจึงไม่ค่อยมี ใครสร้างเพราะเปลืองต้นทุนมาก พระเนื้อสัมฤทธิ์เดชนี้
เนื้อภายในมีวรรณะสีจำปาแก่ หรือนากแก่ ผิวกลับดำสนิท เช่นพระกริ่งปวเรศ
และพระกริ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ) รุ่นแรกๆ สมัยดำรงสมณศักดิ์พระเทพโมฬี (พระกริ่งเทพโมฬี) ดำรงสมณศักดิ์พระธรรมโกษาจารย์ (พระกริ่งธรรมโกษาจารย์ บางรุ่น)
สมัยดำรงสมณศักดิ์ พระพรหมมุนี ( พระกริ่งพรหมมุนีเขมรน้อย
และพระกริ่งพรหมมุนีหรือพระกริ่งใหญ่ ) สมัยดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระพุฒาจารย์
(พระกริ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์)
สมัยดำรงสมณศักดิ์สมเด็จพระวันรัต ( พระกริ่งสมเด็จพระวันรัต รุ่นสร้าง ปี
พ.ศ. ๒๔๗๓ – ๒๔๗๘ ) ในบรรดาพระที่สร้างด้วยโลหะต่างๆนั้น
ถ้าสร้างด้วยธาตุแท้ทองคำจะมีค่าสูงสุด
ส่วนโลหะผสมนั้นนิยมนวโลหะประเภทสัมฤทธิ์เดช ( สัมฤทธิ์ดำ ) มากที่สุด
โดยเฉพาะเมื่อนำไปสร้างเป็นพระกริ่ง
ส่วนใครจะชอบโลหะชนิดใดนั้นก็แล้วแต่ ใจชอบ
แต่ก็ควรอยู่ในหลักสากลนิยมนะครับ ไม่ควรแหกคอกหรือทวนกระแสสากลนิยม
ข้อมูลจาก ศาสตราจารย์
ดร.ไสว พงษ์เก่า คู่มือนักสะสม ฉบับที่ ๕๙ ( ๑๖ - ๓๐ เม.ย. ๔๐ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น